หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แม่ของฉัน คือ...


แม่

        คำว่า " แม่ "  สำหรับฉันมีความหมายมากล้นซึ่งไม่มีผู้ใดจะเปรียบได้ แม่คือทุกสิ่งทุกอย่าง แม่เป็นผู้ให้กำเนิด ก้าวแรกของชีวิตคำแรกที่ฉันพูดได้ก็คือคำว่าแม่   แม่ของฉันเปรียบเสมือนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะแม่ให้ทั้งความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ให้กับลูกเปรียบเท่าท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล แม่เปรียบเสมือนสะพานทอดยาวที่ให้คอยนำพาลูกผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆได้เป็นสะพานสู่แห่งความฝันส่งลูกข้ามไปยังฟากฝั่งของความฝันให้ลูกก้าวสู่ความสำเร็จ แม่เปรียบเสมือนครูคนแรกที่คอยสั่งสอนให้รู้จักคำ คำแรกของชีวิต   แม่เปรียบเสมือนเพื่อนผู้ที่ให้กำลังใจ เพื่อนผู้ให้ความรัก ความอบอุ่น คอยช่วยเหลือสิ่งๆต่างแก่ฉัน  แม่เปรียบเสมือนหมอประจำตัวลูกที่คอยให้การรักษาเวลาที่ฉันป่วย แม่เปรียบเสมือนนักประติมากรที่คอยแต่งแต้มสีสัน ให้กับชีวิตฉัน และสุดท้ายแม่เปรัยบเสมือนดวงใจดวงหนึ่งของฉันที่ฉันจะรัก จะห่วงใย จะคอยดูแลให้ดีเท่ากับชีวิต และทดแทนพระคุณของท่านดังที่ท่านทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับฉัน.....





วันสำคัญทางศาสนา


วันอาสาฬหบูชา


ธรรมจักกัปปวัตนสูต

ภาพการเข้าร่วมกิจกรรม


                                                 


 ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2555 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม

          ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8 

          วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
          ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า  "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ 


อ้างอิง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
  
dhammathai.org
คลังปัญญาไทย








วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แบบผึกหัดท้ายบทที่2


ข้อ1



<script language="javascript">
//
<!--
var a;
a=prompt("กนกวรรณ หอมทรัพย์")
alert("สวัสดี"+a);
</script>




ข้อ2

<script language="javascript">
//
<!--
var a;
var b;
a=prompt("กว้าง")
b=prompt("ยาว")
alert("พื้นที่สี่เหลี่ยม"+a*b);
</script>

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

CNBLUE_[FIRST STEP] Title Song 직감 Full Ver


คอนยิ้มสดใส_เล่นของสูง+เพียงพอ

ริท รุจ เซน คอนยิ้มสดใส_พูดคุย

คอนยิ้มสดใส_นางฟ้าคนเดิม

คอนยิ้มสดใส_โปรดส่งใครมารักฉันที

ริท คอนยิ้มสดใส_ชอบก็จีบ

ริท ขอบคุณที่รักกัน

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ริท คอนยิ้มสดใส_ชอบก็จีบ

ริท คอนยิ้มสดใส_ห้ามทิ้ง

7Days Crazy - แค่ได้รักเธอ (Official Music Video)

CNBLUE - Hey you

C.N Blue - L.O.V.E GIRL

นาฬิกาตาย

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้ !!


                       มนุษย์ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารได้หลากหลาย และช่างสรรหา
เมนูจากสัตว์ต่าง ๆ มาลองลิ้มชิมรสกันมากที่สุด ซึ่งถ้าหากมันปลอดภัยและมีรสชาติ
เอร็ดอร่อยก็ถือว่าเป็นโชคดีไปแต่เมนูบางชนิดนั้นไม่ได้กินกันง่าย ๆ อย่างนั้น
เพราะมันมีพิษสงร้ายแรงจนเรียกว่าควรที่จะเลี่ยงมันดีกว่า แต่กระนั้น.. คนเราก็ยังคง
อยากจะเอาชนะพิษจากสัตว์เหล่านั้น ด้วยการสรรหาวิธีทำให้ปลอดภัย เพื่อจะทานมันจนได้


5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

         
                   1. ปลาปักเป้าหรือปลาฟุกุ เมนูท้าตายอันดับแรกนี้ส่งตรงมาจากญี่ปุ่น เป็นเมนูที่เรียกว่า
ต้องผ่านการแล่เนื้อโดยเชฟที่มีความชำนาญโดยเฉพาะเท่านั้น จึงจะสามารถนำมารับประทานได้
เพราะตลอดทั้งลำตัวของปลาปักเป้านี้ จะมีสาร Tetrodotoxin ซึ่งมีพิษถึงตายกระจายอยู่ทั่ว
และที่สำคัญพิษนี้ยังไม่สลายตัวเมื่อถูกความร้อนด้วย ดังนั้นผู้ที่อยากจะลองเอาปลาปักเป้ามาปรุง
อาหารเองนั้นอย่าได้หวังจะมีชีวิตอยู่เพื่อลิ้มลองรสชาติของมันอีกครั้ง เพราะถ้าหากพลาดไปเพียง
นิดเดียว คุณก็จะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน คลื่นไส้อาเจียน หายใจติดขัด และมีแนวโน้มจะเสีย
ชีวิตหากไม่ได้รับการนำส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

      

            2. สมองลิง อย่าคิดว่าเมนูนี้ไม่มีอยู่จริงในโลก ตราบใดที่มนุษย์ยังมีนิสัยชอบลองของแปลก
อยู่เสมอ เมนูนี้พบได้ในแถบประเทศจีน สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่มันเป็นเมนูที่เสี่ยงมาก ๆ ผู้ที่นำสมอง
ลิงมาปรุงอาหารต้องแน่ใจว่าลิงไม่ได้มีเชื้อวัวบ้าอยู่ ไม่อย่างนั้นผู้ที่ทานเข้าไปอาจจะติดเชื้อวัวบ้า
และเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้อย่างง่ายดาย




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

         

                    3. ชีสหนอน หรือ คาซู มาร์ซู เป็นชีสนมแกะสูตรดั้งเดิมของชาวเกาะซาร์ดิเนียในอิตาลี
ได้มาจากการนำชีสไปวางให้แมลงวัน Piophila casei มาไข่ใส่ จากนั้นก็หมักชีสด้วยตัวอ่อนของแมลง
ซึ่งจะทำให้ชีสมีเนื้อนุ่ม แต่การทานนั้นค่อนข้างเสี่ยง เพราะหนอนเหล่านี้เมื่อเข้าไปในลำไส้แล้วอาจทำ
ให้เกิดอาการเจ็บปวดในลำไส้ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเสียเรื้อรัง และอาจช็อกถึงตายได้ ปัจจุบันชีสหนอน
ถูกจัดเป็นอาหารผิดกฎหมาย แต่ถูกยกเว้นในเกาะซาร์ดิเนีย เพราะถือว่าเป็นอาหารท้องถิ่นที่มีมานาน
หลายร้อยปี




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

        

               4. ซันนักจิ หรือปลาหมึกสดราดซอส เป็นหมึกยักษ์สดตัวเล็กที่ชาวเกาหลีนิยมนำมาทาน
กันง่าย ๆ ด้วยการนำหมึกมาพันไม้ทั้งเป็น แล้วจิ้มน้ำจิ้มทานเลย แต่การเคี้ยวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
เพราะหมึกสดจะมีความเหนียวและยังดิ้นยั้วเยี้ยอยู่ เป็นเมนูที่อันตรายมากเคยเกิดเหตุการณ์หมึกติด
คอผู้ลิ้มลองจนขาดอากาศหายใจตายมาหลายคนแล้ว




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้


          5. นมโคที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์ เพราะกระบวนการพาสเจอไรซ์นั้นเป็นกระบวนการฆ่าเชื้อ
ทำลายยีสต์รา และแบคทีเรียที่มีอยู่ในนมทั้งหมดออกไป โดยไม่ทำให้รสชาติของนมเสีย ดังนั้น การดื่ม
นมโคสด ๆ ที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคจากวัวได้อย่างง่าย ๆ ซึ่งมันอาจไม่ทำ
ให้ผู้ดื่มถึงตาย แต่ก็เจ็บป่วยอย่างไม่คุ้มกันเลยล่ะ

         
         เห็นเมนูแต่ละเมนูแล้ว เชื่อเลยว่าหลายคนคงต้องรู้สึกสะอิดสะเอียนกันไม่น้อย โดยเฉพาะชีสนอน
ที่น่าขยะแขยง นึกภาพตามแล้วก็ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ก็หวังว่าคุณ ๆ คงไม่เป็นคนหนึ่งที่อยากจะ
ท้ามัจจุราช ลิ้มลองเมนูอันตรายพวกนี้ด้วยตัวเองหรอกนะ.. อิอิ

 
ขอบคุณที่มา : http://board.postjung.com/621210.html


เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม





http://www.youtube.com/watch?v=u02SgnmPNhw&feature=related

ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง!

ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง!


         ป้ายรถเมล์ประจำแห่งหนึ่งที่พี่เกียรติเคยไปยืนรอต่อรถกลับบ้านสมัยเด็กๆ  จะมีร้านรถเข็นเล็กๆ ขายน้ำชนิดเดียวคือ น้ำใบบัวบก ประดับตกแต่งด้วยต้นบัวบกไปทั้งรถเข็น มีคนที่เหนื่อยล้ากับการต่อรถต่อเรือมาแวะดื่มตลอด  แม่พี่ก็ซุื้อให้ดื่มบ่อยๆ ตอนนั้นคิดว่ามันต้องขมแน่นอนเพราะมันคือผัก ผัก และผัก ไม่มีส่วนผสมอื่นใด ทั้งสีสันและเอกลักษณ์ก็เขียวเข้ม รสชาติคงไม่พ้นเหม็นเขียวแน่นอน แต่ที่ไหนได้รสชาติกลับหวานได้รสไม่เหมือนอาหารใด ไม่หวานมากจนเหมือนดื่มแล้วต้องเป็นเบาหวาน และก็ไม่เหม็นเขียว แต่ก็มีกลิ่นผักที่มันเป็นนั่นแหละ แต่ที่สำคัญ คือ ดื่มแล้วชื่นใจเป็นที่สุด เรียกว่ามาตั้งร้านได้มุมที่ดีมากๆ เหนื่อยจากการเดินทาง สมองมึนเพราะสูดควันพิษ ก็ต้องเติมพลังก่อนไปต่อด้วยน้ำใบบัวบกนี้แหละ 


เด็กดีดอทคอม :: ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง!


          ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารสมอง ที่ใช้ในตำรับบำรุงสมองมาช้านานแล้ว มีการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วพบว่ามีสรรพคุณ ทำให้มีสมาธิ สามารถจดจ่อกับงานได้นานขึ้น ความจำและการเรียนรู้ดีขึ้น และยังช่วยในการกำจัดสารพิษซึ่งสะสมในสมองและระบบประสาท รวมทั้งที่ตกค้างในร่างกายได้เป็นอย่างดี  มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดในบัวบกด้านคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสามารถในการจำแล้ว และในการการศึกษาถึงการบำรุงสมอง พบว่าบัวบกสามารถต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง ต้านอนุมูลอิสระ คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาท acetylcholineซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง เสริมการทำงานของสารสื่อประสาทกาบ้า (Gaga) ที่รักษาสมดุลของจิตใจ ทั้งยังทำให้ผ่อนคลายและหลับได้ง่าย นอกจากนี้บัวบกยังทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรง เพิ่มเม็ดเลือดขาว และสามารถนำเลือดไปเลี้ยงในอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานโรคได้
แหล่งข้อมูล, ภาพประกอบ: 
   http://www.kroobannok.com/blog/16019 (กลอน)
    http://www.yourhealthyguide.com/article/an-gotu-kola-brain.html
    http://healthben.blogspot.com/2011/10/benefit-of-asiatic-pennywort.html
    http://www.lineayforma.com/estar-bien/los-multiples-beneficios-de-la-centella-asiatica.html
    adaduitokla,Flickr 
    kunchang.igetweb.com   

http://www.dek-d.com/content/education/27902/ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง.php

ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ

  เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ ทั้งๆ ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ที่อยู่ทวีปเอเชียด้วยกัน กลับมีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว (เวียดนามก็เคยตกมาแล้ว!!) วันนี้พี่มิ้นท์จะมาคลายปมให้หายสงสัยกันไปเลย
เด็กดีดอทคอม :: ทำไมเมืองไทยไม่มีหิมะตก
             ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ตั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ ถึง 1 องศา 45 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก ถึง 26 องศา 4 ลิปดาตะวันออก โดยปกติเส้นละติจูดจะทำให้เรารู้สภาพอากาศของต่ำแหน่งประเทศนั้นๆ โดยตำแหน่งที่ตั้งที่มีค่าละติจูดต่ำ ก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าต่ำแหน่งพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่านั่นเอง ด้วยความกว้างขวางขนาดนี้ ทวีปเอเชียจึงมีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ เรียกว่ามีตั้งแต่ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย ไปจนถึงหนาวแบบขั้วโลก เลย
    ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่า เมืองไทยยังหนาวไม่พอที่หิมะจะตกลงมาได้   เพราะหิมะจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 องศา หรือถ้ามีฝนตกร่วมด้วยก็อาจจะไม่ต้องถึง 0 องศา เพราะบรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม

              ถ้าจะอธิบายง่ายๆ หิมะ ก็คือ การรวมตัวของละอองน้ำในบรรยากาศ ที่ควบแน่นและตกลงมา ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ ฝนค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่เมื่อละอองน้ำเจออากาศเย็นและมีความชื้นที่พอเหมาะ ก็เลยตกลงมาในรูปของผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

             ดังนั้นพื้นที่ที่จะเกิดหิมะได้ ก็จะต้องอยู่ใต้เส้น Tropic of capricron ในซีกโลกใต้ หรือ อยู่เหนือเส้น Tropic of cancer ขึ้นไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งประเทศจีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่เลยเส้นนี้ จึงมีหิมะตกได้ ส่วนประเทศไทยของเราล่ะ อยู่ตรงโซน Equator ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรพอดี๊พอดี ก็เลยไม่มีหิมะจ้า (ดูรูปประกอบด้านบน)
อ้างอิงข้อมูลจาก
www.tmd.go.th/, www.siwaporn.net/, th.wikipedia.org
รูปภาพจาก
/italyin30seconds.wordpress.com, http://www.jroller.com/,


เชื่อหรือไม่!! กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้ ภายใน 4 วัน

เชื่อหรือไม่!! กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้ ภายใน 4 วัน

   "น้ำอัดลม" ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไร ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "อัดลม" เพราะฉะนั้นส่วนประกอบสำคัญก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ ที่ทำให้น้ำอัดลมซ่า โดยจะใช้ความดันอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ไปทำปฏิกิริยากับน้ำ ซึ่งปฏิกิริยานี้ทำให้เกิดกรดคาร์บอนิกด้วย ผลที่ตามมาก็จะมีฟองฟู่ฟ่าอย่างที่เราเห็น เวลากินตอนเหนื่อยๆ หรือกระหาย นึกว่าได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เพราะมันสดชื่นมากๆ แต่ในทางตรงกันข้ามกรดนี้สามารถกัดกระดูกและฟัน อาจทำให้เกิดฟันผุ กระดูกผุได้ค่ะ เรียกว่าประโยชน์กับโทษสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นต้องใช้วิจารณญานในการดื่มด้วยนะคะ

          อีกส่วนประกอบหนึ่งก็คือน้ำตาล เพื่อให้เกิดความหวาน สดชื่นนั่นเอง น้ำตาลที่ใช้จะเป็น ซูโครส แต่บางชนิดจะใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น แอสปาเตม ฯลฯ ซึ่งจะใส่ในน้ำอัดลมประเภทโลวแคลอรี แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลก็ไม่ดีทั้งคู่นะคะ น้ำตาลทำให้อ้วน รู้หรือไม่ว่าน้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีพลังงานทั้งหมด 240 กิโลแคลอรี่ เท่ากับกินข้าว 3 ทัพพี ><!!  ไม่อ้วนให้รู้ไป ส่วนสารให้ความหวานก็อาจเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้ท้องร่วง อาเจียน ไปจนถึงเป็นมะเร็งได้
 เด็กดีดอทคอม :: เชื่อหรือไม่!! กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้ ภายใน 4 วัน   นอกจากส่วนประกอบหลักทั้งสองแล้ว ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่น่าสนใจปนน่ากลัวอีก เช่น กรดฟอสฟอริก เป็นกรดที่ทำให้เกิดความซ่าอีกชนิดนึง ไม่น่าเชื่อว่ากรดนี้เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในผงซักฟอก รวมทั้งใช้ในอุตสาหกรรมโลหะด้วย ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมาก มากขนาดที่สามารถละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน เท่านั้นยังไม่พอยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน เพราะฉะนั้นกินเยอะๆ กระดูกของเราพรุนแน่ๆ

          จะว่าไปแล้วก็ยังมีอีกหลายส่วนประกอบ เช่น วัตถุกันเสีย กลิ่นสังเคราะห์ สีสังเคราะห์ หรือแม้แต่คาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟและชา ก็มาโผล่ในน้ำอัดลมด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะมีไม่มากเท่า แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่เยอะแล้วล่ะก็ ก็ส่งผลทำให้เป็นโรคประสาทได้ ที่สำคัญ จังหวะและอัตราการเล่นของหัวอาจผิดปกติ ทำให้นอนไม่หลับ
 

http://www.dek-d.com/content/education/27489/เชื่อหรือไม่-กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้-ภายใน-4-วัน.php

อ้างอิงเนื้อหาจาก
sumon-kananit.socialgo.com,เรื่องปฏิกิริยาในน้ำอัดลม รายวิชาเคมี ม.4
รูปภาพประกอบจาก
http://www.tarladalal.com/,  blog.collegebars.net

ตัด "หนวด" แมว ก็เหมือนฆ่าแมวทั้งเป็น !!


ตัด "หนวด" แมว ก็เหมือนฆ่าแมวทั้งเป็น !!

  ถ้าพูดถึงสัตว์เลี้ยงที่คนทั่วโลกเห็นตรงกันว่าน่ารักอ้ะ!! และอยากเลี้ยงมากที่สุด นอกจากสุนัขแล้ว เห็นทีก็จะมีแต่ "แมว" ด้วยความน่ารัก ขี้อ้อนและนอนเก่ง?? ของมันก็คงทำให้คนตกหลุมรักจนถึงขั้นเรียกว่าลูกกันเลยทีเดียว และบทความวิทยาศาสตร์วันนี้พี่มิ้นท์ก็เอาใจคนรักแมวกันหน่อย ส่วนจะเรื่องอะไร มาอ่านไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: ตัด "หนวด" แมว ก็เหมือนฆ่าแมวทั้งเป็น !!
              บ้านใครที่เลี้ยงแมวไว้อาจจะเคยได้ยินความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับแมวกันมาเยอะ เช่น แมวตายยาก เพราะมันมี 9 ชีวิต, แมวชอบกินปลา(อันนี้ขอเถียง แมวบ้านพี่มิ้นท์กินทุกอย่าง) ไปจนถึง ต้องตัดหนวดแมว เพื่อให้แมวตัวผู้ไม่หนีออกจากบ้าน ซึ่งความเชื่อข้อหลังนี้ น่าจะส่งผลให้ใครต่อใครเคยลองตัดหนวดแมวกันแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้ว การตัดหนวดแมวเป็นการทรมานสัตว์อย่างนึง เพราะทำให้มันหมดความมั่นใจ และทำให้การดำเนินชีวิตของมันไม่เหมือนเดิม!!

              น้องๆ เคยนึกสงสัยว่า หนวดแมวมีไว้ทำอะไร แน่นอนว่าธรรมชาติคงไม่ได้สร้างมันมาเพื่อความสวยงามเท่านั้น ทุกอวัยวะไม่ว่าจะของคน หรือสัตว์ต่างก็มีหน้าที่ และประโยชน์ของมัน ดูอย่างคนสิ เอาแค่ขี้หูที่ดูเป็นสิ่งสกปรก ก็ยังมีหน้าที่ช่วยป้องกันแมลง หรือฝุ่นละอองเข้าหูได้ ดังนั้นหนวดแมวก็มีประโยชน์มากกว่าที่คิดแน่นอน 
   ถ้าใครเคยสังเกต จะเห็นว่าเวลาแมวจะอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หนวดแมวจะขยับหรืออยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันด้วย เช่น เวลาเจอหนู หรือแมลงตัวเล็กๆ มันก็จะตาโต นั่งยองๆ พร้อมกับขยับหนวดไปด้านหน้า เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของเหยื่อ ซึ่งรวมไปถึงเวลาที่มันตกอยู่ในสถานการณ์อยากรู้อยากเห็น หรือ จดจ้องกับอะไรบางอย่างอยู่ ตรงกันข้ามเวลาที่มันอยู่เฉยๆ หนวดของมันก็จะอยู่ปกติ ส่วนเวลาดมอาหารก็จะขยับหนวดไปด้านหลัง เพื่อให้สูดกลิ่นหอมๆ ของอาหารได้เต็มที่
  สาเหตุที่หนวดแมวที่การปรับ และขยับได้นั่นก็เป็นเพราะว่า หนวดแมวเป็นอวัยวะที่สำคัญของแมว เปรียบเสมือนเรดาห์ใช้ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของสิ่งรอบๆ ตัว รวมไปถึงเหยื่อของมัน เพราะที่ปลายหนวดจะมีตัวรับความรู้สึก (sensory receptor) ซึ่งรับรู้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแรงสั่นสะเทือน คลื่นไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งลมเบาหวิว ดังนั้นเวลามีอะไรมากระทบเข้ามันก็จะรู้สึก และรู้ได้ตลอดเวลาว่ามีอะไรอยู่รอบๆ ตัวมันบ้าง

            นอกจากนี้ยังใช้นำทางไปในทางที่แคบๆ เพราะเวลาแมวเดิน มันจะใช้หัวนำไปก่อน โดยขนาดความยาวของหนวดแมวนั้นจะเท่ากับความกว้างของลำตัว(หนวดแมวเปอร์เซียก็เลยยาวมากกก) ดังนั้นเวลาแมวจะลอดช่อง หรือ รูเล็กๆ หนวดก็สามารถใช้วัดระยะได้ด้วย ว่าตัวของมันจะผ่านตรงนั้นไปได้ หรือไม่


             การไปตัดหนวดของมันด้วยความตั้งใจ หรือคึกคะนองก็ตาม ย่อมเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตมันเลยก็ว่าได้ เพราะทันทีที่ตัดหนวดไป ก็เหมือนไปตัดตัวรับความรู้สึกของมันไปด้วย ทำให้มันหาอาหารได้ลำบากขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเหยื่ออยู่ตรงไหน เดินทางลำบากขึ้น เพราะไม่มีเรดาห์ตรวจจับเส้นทาง และการคำนวณพื้นที่ในการลอดผ่านพื้นที่แคบๆ ก็จะน้อยลง การตอบสนองจะช้าลง เดินชนสิ่งรอบๆ ตัวได้ง่ายขึ้น บางตัวถึงกับเสียศูนย์เดินเป๋กันเลยทีเดียว
   ดังนั้น การตัดหนวดแมวก็เปรียบเสมือนการไปทำลายความมั่นใจของแมว มันจะรู้สึกว่าความปลอดภัยในชีวิตของมันน้อยลง จนไม่กล้าออกจากบ้านไปเจอสิ่งอื่นๆ ภายนอก เพราะทุกที่จะเป็นที่ที่ไม่คุ้นเคย เรียกว่านั่งหงอหมดหล่ออยู่บ้าน ทำให้คนเข้าใจไปว่าการตัดหนวดแมวเป็นทางออกที่ทำให้แมวไม่ออกจากบ้าน ซึ่งมันก็ใช่ แต่ก็เป็นการทารุณสัตว์สุดๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้มันไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้ จนกว่าหนวดใหม่มันจะยาว
 
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพประกอบจาก
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/10/J9802115/J9802115.html
www.allanimalsites.com,www.petopia.sg

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ว้าว!! ยานอวกาศจากนาซา พบสายแร่บนดาวอังคาร


ว้าว!! ยานอวกาศจากนาซา พบสายแร่บนดาวอังคาร

  • สายแร่ที่ค้นพบบนดาวอังคาร จะมีประโยชน์อย่างไร ต้องไปหาคำตอบ

  • Post : 15 กุมภาพันธ์ 2555 , View : 11,290
  • Tag : นาซ่าสายแร่บนดาวอังคารดาวอังคารการค้นพบโฮมสเตค
  •    วัสดีค่าน้องๆ.... ถ้าพูดถึงดาวอังคาร น้องๆ จะนึกถึงอะไรคะ พี่มิ้นท์จะนึกถึงดาวสีโทนร้อน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความเชื่อกันว่าดาวดวงนี้ จะเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่เรื่องจริงจะเป็นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ก็พยายามหาคำตอบด้วยการส่งยานอวกาศนานาชนิดไปสำรวจ 
    เด็กดีดอทคอม :: ว้าว!! ยานอวกาศจากนาซา พบสายแร่บนดาวอังคาร

    ภาพสายแร่บนดาวอังคาร ความยาวประมาณ 18 นิ้ว (45 เซนติเมตร) 

               ซึ่งการสำรวจหลายๆ ครั้ง ก็ได้ข้อพิสูจน์ใหม่ๆ เพียบ เรียกว่าแต่ละอย่างน่าสนใจทั้งนั้น ล่าสุด องค์การนาซ่าก็ได้ค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมมาอีกแล้ว จะเป็นอย่างไร ลองไปอ่านกันเลย

               องค์การนาซ่า ได้ส่งยานอวกาศชื่อว่า Mars Exploration Rover Opportunity (มาร์เอกซ์พลอเรชันโรเวอร์ออพพอร์ทูนิตี) ไปยังดาวอังคารเมื่อวันที่ 25 ม.ค.2004 โดยมีหน้าที่หลัก คือ การไปสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร ซึ่งตลอด 8 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ภาพสวยๆ ที่ถ่ายได้จากดาวอังคารไว้ศึกษาจำนวนมาก และล่าสุดยานลำนี้ก็ได้ส่งภาพที่น่าสนใจมาอีกครั้ง ในภาพเป็นก้อนวัตถุสีขาวเป็นทางยาว ซึ่งเป็นสายแร่ที่ได้จากการบันทึกภาพของกล้องที่ติดอยู่บนตัวยาน โดยพบสายแร่นี้ที่บริเวณภูเขาไฟเอ็นดีฟเวอร์ (Endeavour) ค้นพบเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 ที่ผ่านมา

              
    แล้วการค้นพบนี้มีประโยชน์ยังไง??
    เด็กดีดอทคอม :: ว้าว!! ยานอวกาศจากนาซา พบสายแร่บนดาวอังคาร

    สายแร่บนดาวอังคาร มีชื่อย่างไม่เป็นทางการว่าโฮมสเตค (Homestake)

              หลังจากเห็นภาพนี้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ออกมาว่า สายแร่นี้มีธาตุแคลเซียมและกัมมะถันในปริมาณมาก อัตราส่วนที่บ่งบอกว่าเป็นแคลเซียมซัลเฟตบริสุทธิ์ อาจเป็นองค์ประกอบที่เป็นแร่ยิปซัม (Gypsum) ที่พบบนโลก โดยมีสูตรทางเคมีคือ CaSO4·2H2O แร่ยิปซัมถูกจำแนก
    อยู่ในประเภทแร่อโลหะ มีโครงสร้างผลึกแบบระบบโมโนคลินิก

              การค้นพบสายแร่ยิบซัมเป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับโลกของเรา เพราะมีความอุดมสมบูรณ์ แต่เป็นเรื่องที่แปลกมากที่พบบนดาวอังคาร นักวิทยาศาสตร์ให้เหตุผลว่า การเกิดแร่ยิบซัมมีกระบวนการที่ซับซ้อนมาก เริ่มจากธาตุที่เป็นองค์ประกอบพัดผ่านมากับสายน้ำจนเกิดการทับถมและเกิดการตกตะกอน เป็นเวลานานและเกิดการระเหยของน้ำที่สูงมาก ดังนั้น การค้นพบสายแร่นี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ได้ความรู้ใหม่ และกระตุ้นให้มีการศึกษาเกี่ยวกับธรณีวิทยาของดาวอังคารอย่างจริงจัง รวมถึงพี่มิ้นท์และน้องๆ ชาว Dek-D.com เองก็ได้ความรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารมากขึ้นด้วย

    เด็กดีดอทคอม :: ว้าว!! ยานอวกาศจากนาซา พบสายแร่บนดาวอังคาร

              ถึงแม้ว่ายานมาร์เอกซ์พลอเรชันโรเวอร์ออพพอร์ทูนิตีจะอยู่สำรวจบนดาวอังคารมานานแล้ว แต่ก็ยังต้องอยู่เดินหน้าสำรวจต่อไป เพื่อค้นหาแหล่งแร่ที่มีกระบวนการเกิดแบบนี้ต่อไป อีกหน่อยเราอาจจะได้รู้วิวัฒนาการของดาวอังคารด้วยหลักฐานทางธรณีวิทยาก็เป็นได้^^
     
              แม้จะเป็นเรื่องไกลตัว (ไกลมากเลยล่ะ เพราะอยู่ถึงนอกโลก) แต่ก็เป็นความรู้ใหม่ๆ ที่พี่มิ้นท์คิดว่าน้องๆ ควรรู้ไว้บ้างก็ดี เพราะทุกวันนี้เราสนใจแต่เรื่องราวบนโลกไม่ได้แล้ว แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองยังพยายามหาที่อยู่ใหม่ให้กับสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย เผื่อวันนึงเราอาจจะได้ไปอยู่บนดาวอังคารจริงๆ ก็ได้ ว่าแล้วก็รีบเก็บตังค์สร้างยานดีกว่า ฮ่าๆ  (เริ่มจิ้นหนักแล้ว แว๊ก!!)

    ขอขอบคุณข้อมูลจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) www.narit.or.th/
    รูปภาพจาก
    องค์การนาซ่า www.nasa.gov/

    photojournal.jpl.nasa.gov/catalog/PIA04848



**


รู้ไว้สักนิด


1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์

เรื่องวิทย์จี๊ดสุดๆ


ในอนาคตมนุษย์จะหายตัวได้ ด้วย "เสื้อล่องหน"

  • เสื้อล่องหนไม่ได้มีแค่ในนิยายอีกต่อไป เมื่อนักวิทยาศาสตร์กำลังทำให้มันเป็นจริง

  • Post : 22 มิถุนายน 2555 , View : 10,077
  • Tag : เสื้อล่องหนวิทยาศาสตร์,



  •               
    สวัสดีค่า^^... ถ้าพูดถึงมนุษย์ล่องหน เราอาจจะนึกไปถึงเรื่องจินตนาการหลุดโลก หายจากตรงนี้ไปโผล่ตรงนู้น หายจากตรงนู้นมาอยู่ตรงนี้(นี่มนุษย์ล่องหนหรือผีกันแน่)พอดูกันแล้ว ก็จะรู้สึกมหัศจรรย์ อยากทำได้แบบนั้นบ้าง แต่ก็ได้แค่คิดค่ะ ไม่มีวันที่จะเป็นจริงแน่นอน ก็แหม...อยู่ดีๆ ใครล่ะจะไปหายตัวได้เนอะ
    แต่ในโลกยุคนี้ จะเรียกว่าฝันเป็นจริง หรือ นวัตกรรมสมัยใหม่ก็แล้วแต่ "การล่องหน" จะสามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ต้องถอดจิต เล่นของ หรือใช้ไสยศาสตร์ใดๆ เพราะทุกอย่างเกิดจากความคิดและหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพียงแค่เอาเสื้อหรือผ้าคลุมล่องหนมาคลุมที่ตัว เราก็จะกลายเป็นมนุษย์ล่องหนไปในทันที

                เสื้อคลุมหรือผ้าคลุมที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นงานวิจัยของชาวอังกฤษ ทำขึ้นจากวัสดุชนิดพิเศษที่ได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆ เรียกว่า meta-material ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของวงแหวนโลหะ มีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดามากๆ  คือ มีดัชนีหักเหเป็นลบ ถึงแม้ว่าเราจะมองเห็น meta-material ด้วยตาเปล่าๆ ได้ แต่เมื่อนำไปใช้จริงๆ เรากลับมองไม่เห็นสิ่งที่บดบังเอาไว้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหลักการเกี่ยวกับเรื่องแสงทางฟิสิกส์นั่นเอง
      ปกติตามหลักการมองเห็น เราจะมองเห็นสิ่งของก็ต่อเมื่อมีแสงตกกระทบวัตถุและสะท้อนกลับเข้ามาที่ตาเรา แต่วัสดุนี้จะต่างไปจากเดิม ตรงที่จะทำให้แสงรวมถึงคลื่นแม่เหล็ดอื่นๆ ที่ตกลงบนวัสดุนี้หักเหและพุ่งอ้อมผ่านรอบๆ เสื้อคลุมไป ไม่สะท้อนกลับเข้าตาเราเหมือนเดิม ดังนั้นของที่ถูกปิดด้วยวัสดุนี้ ก็เหมือนถูกผ้าคลุมซ่อนเอาไว้ เราจึงไม่เห็นสิ่งของนั้นๆ หากจะเปรียบเทียบการเดินทางของแสงผ่านวัสดุชนิดพิเศษนี้ นักวิจัยได้กล่าวไว้ว่าคลื่นแสงไหลผ่านรอบๆ วัตถุแบบเดียวกับการไหลของน้ำผ่านรอบตอไม้นั่นเอง

                สำหรับประโยชน์ของเจ้าเสื้อล่องหนนี้ ก็ไม่ได้มีไว้ให้ใส่สนุกๆ อย่างที่คิดหรอกนะคะ เพราะเขาสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายในทางการทหารด้วย โดยเมืองนอกส่วนใหญ่ก็วางแผนไว้แล้วว่าหากนวัตกรรมชิ้นนี้สร้างสำเร็จมาเมื่อไหร่ คงจะได้นำมาใช้กับกองทัพ ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง เรียกว่าล่องหนกันหมดเลยทีเดียว
                ส่วนตัวพี่มิ้นท์มองว่าเป็นนวัตกรรมที่อึ้ง ทึ่ง และน่าสนใจมาก แต่ว่าถ้าหากน้องๆ หาซื้อตอนนี้ก็คงยังไม่มีหรอกนะคะ และไม่รู้ว่าหากมีจริงๆ จะสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้หรือไม่และที่สำคัญคือ ราคาก็คงอลังการตามผลงานแน่นอน เอาเป็นว่ารอดูและรอชมผลงานของมนุษย์โลกอยู่ตรงนี้ดีกว่า ฮ่าๆ

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมื่อเหล่าตัวการ์ตูน กลายมาเป็นเครื่องประดับความสวยงามของรถยนต์ !!?





http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2525065

ตะลึง! ภาพวงแหวนแห่งไฟ...อีก 18 ปี ถึงจะมีให้เห็นอีกครั้ง


ไม่ผิดหวัง...ประชาชนหลายล้านคนทั่วเอเชียต่างเฝ้าดูวงแหวนแห่งไฟหรือสุริยุปราคาเต็มดวงแบบวงแหวน (Annular Solar Ecplise) ที่เกิดจากดวงจันทร์เคลื่อนผ่านดวงอาทิตย์
นักดาราศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ระบุว่าไม่ใช่เรื่องปกตินักที่จะเกิดสุริยุปราคาที่สามารถมองเห็นได้ในนครใหญ่ ๆ ของญี่ปุ่น ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 932 ปี ที่หลายพื้นที่สามารถมองเห็นปรากฏการณ์นี้ นอกจากทวีปเอเชียแล้วปรากฏการณ์นี้จะเคลื่อนผ่านแปซิฟิกและมองเห็นได้ในพื้นที่หลายส่วนทางตะวันตกของสหรัฐ
สุริยุปราคาครั้งสุดท้ายที่ชาวญี่ปุ่นมีโอกาสมองเห็นคือคนที่อาศัยอยู่ที่เกาะโอกินาวาเมื่อ 25 ปีก่อน ส่วนพื้นที่ที่จะได้เห็นปรากฏการณ์นี้อีกในอนาคตคือเกาะฮ็อคไกโดทางตอนเหนือของของประเทศ ในปี 2573 โน่น

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2525850

ที่มา เนชั่นสุดสัปดาห์ออนไลน์

อึ้ง!! จับใจ ๆ นาฬิกาบนเล็บ.. มีจริงนะเออ

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2527259
 TIMEX ยี่ห้อนาฬิกาชื่อดังของต่างชาติ ได้ผลิต Timex Nail Timer

เป็นนาฬิกาติดเล็บ คล้ายเล็บปลอมที่หนาไม่ถึง 1 มิลลิเมตร มีหลายสี ดูเวลาได้ จับเวลาได้

มีปุ่ม
สองปุ่มซ่อนอยู่ ตรงส่วนปลายเล็บที่เป็นสีขาว คือปุ่มจับเวลา-ดูเวลาจริง และ ปุ่มปรับ

เวลา แต่ยัง
ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าเ
ปลี่ยนแบตฯยังไง หรือ ใช้โซล่าเซล มีหลายสีเหมาะกับวัย

รุ่นกันน้ำด้วย เทห์มากๆๆๆ

เจ๋ง!!

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2241200

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หอไอเฟล(อยากไป)


บุญบั้งไฟชาวอิสาน

มีนิทานปรัมปราที่ชาวอีสานเล่าต่อกันว่า  ณ  เมืองอินทะปัตถานคร  มีพญาเอกราชปกครองประชาราษฎร์ด้วยหลักทศพิธราชธรรม  เคารพและบูชาพญาแถนอยู่เสมอ  ต่อมาพระมเหสีมีพระโอรสชื่อพญาคันคาก  มีรูปโฉมอัปลักษณ์ผิวพรรณตะปุ่มตะปั่มคล้ายคางคก  แต่ด้วยความเพียรพยายามปฏิบัติธรรม  เป็นผู้ทรงทศพิธราชธรรมและขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา  ทำให้บุคลิกภาพแปรเปลี่ยนมีรูปโฉมงดงาม  ประชาชนเคารพยกย่องสรรเสริญ  จนลืมบวงสรวงพญาแถน  ขณะเดียวกัน  ณ  เมืองเชียงเหียน  อันมีพระยาขอมเป็นเจ้าครองนคร  ซึ่งมีธิดาที่สวยงดงามชื่อนางไอ่  เป็นที่หมายปองของท้าวภังคีซึ่งเป็นโอรสของพญานาคแห่งแม่น้ำโขง  แต่ก็ปรากฏเหตุการณ์บางอย่างซึ่งท้างภังคีเสียชีวิตเพราะนางไอ่ทำให้พญานาคโกรธมากและใช้อิทธิฤทธิ์ถล่มเมืองเชียงเหียนจนล่มจม  แม้มีนายผาแดงพานางไอ่ขึ้นนั่งบนหลังมาหลีกหนีจนพ้นอันตราย  แต่พญานาคก็ตามทันและใช้หางตวัดทำร้ายจนนางไอ่เสียชีวิต  ฝ่ายพญาแถนรับรู้เรื่องราวจึงไม่ยอมให้พญานาคขึ้นไปเล่นน้ำในสระโบกขรณีบนฟ้าเช่นเคย  น้ำในสระดังกล่าวจึงนิ่งไม่ล้นหรือกระฉอกลงสู่พื้นดินเช่นเคย  จึงทำให้บังเกิดความแห้งแล้งแก่โลกมนุษย์และสรรพสัตว์  ดังนั้นพญาคันคาก(คางคก) จึงยกทัพไปรบกวนพญาแถนและบังคับให้พญาแถนปฏิบัติเช่นเคยทุก ๆ ปีและทุก ๆ เดือนหก  ซึ่งพญาแถนก็ยินยอมโดยให้พญานาคขึ้นไปเล่นน้ำที่สระโบกขรณีเช่นเคย  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องการฝนตกเมืองใดให้พญาคันคากส่งบั้งไฟไปบอกเมื่อนั้น  พญาแถนก็จะปล่อยฝนมาทันทีและตลอดเดือนเพื่อให้เกษตรกรได้ทำนาและเพาะปลูกตามฤดูกาล.......  นิทานข้างต้นนี้จึงเสมือนการตอกย้ำความเชื่อเรื่อง ฟ้า ขวัญ เมือง ของกลุ่มชนลุ่มแม่น้ำโขงโดยเฉพาะชาวอีสาน  ซึ่งจะต้องจัดบุญประเพณีบั้งไฟทุก ๆ ปี  และเป็นที่อัศจรรย์ใจของทุกคนว่าเมื่อจุดบั้งไฟในวันใด  ตอนเย็นของวันนั้นฝนจะตกทุกครั้งไป  เรื่องนี้อาจสรุปได้อีกทางหนึ่งว่าเขม่าควันของลูกไฟดวงใหญ่ที่ทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอาจไปจับยึดก้อนเมฆจนลอยต่ำลงและกลั่นตัวเป็นหยาดฝน โปรยลงมาตามประสงค์ของผู้มาร่วมบุญประเพณีบั้งไฟดังกล่าว

สูตรเกมส์the sim 3

สูตรเกมเดอะซิมส์3 ภาคเสริม
สูตรโกงเงิน
วิธีใช้สูตร ระหว่างอยู่ในเกม กด shift+ctrl+c จะมีช่องให้พิมพ์สูตรปรากฏขึ้นด้านบน
-ระวังการเว้นวรรค ต้องเว้นให้ถูกต้อง
-อักษรตัวเล็กหรือใหญ่ถือว่าเหมือนกันหมด
-ถ้าไม่มีช่องพิมพ์สูตรปรากฏขึ้น ให้เช็คคีย์บอร์ดว่าอยู่ในภาษาอังกฤษ
และไม่มีโปรแกรมใดๆในเครื่องใช้คีย์ลัดเดียวกันนี้ โดยมากมักเป็นเพราะ CursorXP

บุญซำฮะ


ประวัติของบุญซำฮะ
...มูลเหตุที่ปรากฏเป็นหลักฐานในตำราทางศาสนาเกี่ยวกับการทำบุญซำฮะนี้ มีเรื่องเล่าไว้ในขุททกนิกาย
ธรรมบท เรื่องอัตโนบุพกรรมว่า ในสมัยหนึ่งเมืองไพสาลี ได้เกิดเดือดร้อน เพราะฝนแล้ง ฟ้าฝนไม่ตกต้อง
ตามฤดูกาล เกิดข้าวยากหมากแพง (ทุพภิกขภัย) และเกิดโรคร้ายระบาดรุนแรง ทำให้สัตว์ มีช้าง ม้า วัว
และควาย เป็นต้น และผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากศพและขาวโพลนไปด้วยกอง
กระดูก เจ้าผู้ครองเมืองจึงได้ส่งคนไปกราบนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จำนวน 500 รูป
เสด็จมายังเมืองไพสาลีโดยทางเรือ เพื่อขจัดปัดเป่าหรือชำระเสนียดจรัญไรที่เกิดขึ้นและ บำรุงขวัญ
ประชาชนพสกนิกรของตน
...ครั้นพอเมื่อ พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าถึงเขตเมืองไพสาลีก็เกิดฝนตกห่าใหญ่ ภายในเมืองเกิดน้ำท่วมสูงระดับ
หัวเข่าจนถึงเอว น้ำที่ท่วมนั้นกลายเป็นผลดีแก่ชาวไพสาลี โดยน้ำได้พัดพาเอาซากศพของคนและสัตว์
เหล่านั้นลงสู่แม่น้ำแล้ว ไหลออกสู่ทะเลในที่สุด ซึ่งเชื่อว่าเป็นการชำระเมืองให้สะอาดก่อนที่จะมีการเสด็จ
มาถึงของพระพุทธเจ้า อันเป็น การถวายการต้อนรับโดยเทวดาผู้รักษาเมือง
...ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ทำน้ำพุทธมรต์ด้วยรัตนสูตรใส่ในบาตรแล้วรับสั่งให้พระอานนท์นำไปประพรม
จนทั่ว พระนครโรคภัยไข้เจ็บและเสนียดจัญไรทั้งหลายทั้งปวงก็ระงับดับหายไป  ชาวอีสานในสมัยโบราณ
ได้อาศัยความเชื่อนี้ ครั้นเมื่อถึงเดือน 7 ของทุกปีจึงได้พากัน ทำบุญ ชำระบ้านเมืองเป็นประจำสืบมา

ละครพันทาง



          ละครพันทาง เป็นละครแบบผสม ผู้ให้กำเนิดละครพันทางคือ เจ้าพระยามหินทร์ศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ท่านเป็นเจ้าของคณะละครมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ แต่เพิ่งมาเป็นหลักฐานมั่นคงในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งแต่เดิมก็แสดงละครนอก ละครใน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านไปยุโรปจึงนำแบบละครยุโรปมาปรับปรุงละครนอกของท่าน ให้มีแนวทางที่แปลกออกไป ละครของท่านได้รับความนิยมมากในปลายรัชกาลที่ ๕ และสิ่งที่ท่านได้สร้างให้เกิดในวงการละครของไทย 
ผู้แสดง
          มักนิยมใช้ผู้แสดงชาย และหญิงแสดงตามบทบาทตัวละครที่ปรากฏในเรื่อง

การแต่งกาย
          ไม่แต่งกายตามแบบละครรำทั่วไป แต่จะแต่งกายตามลักษณะเชื้อชาติ เช่น แสดงเกี่ยวกับเรื่องมอญ ก็จะแต่งแบบมอญ แสดงเกี่ยวกับเรื่องพม่า ก็จะแต่งแบบพม่า เป็นต้น

เรื่องที่แสดง
          ส่วนมากดัดแปลงมาจากบทละครนอก เรื่องที่แต่งขึ้นในระยะหลังก็มี เช่น พระอภัยมณี เรื่องที่แต่งขึ้นจากพงศาวดารของไทยเอง และของชาติต่างๆ เช่น จีน แขก มอญ ลาว ได้แก่ เรื่องห้องสิน ตั้งฮั่น สามก๊ก ซุยถัง ราชาธิราช เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่ปรับปรุงจากวรรณคดีเก่าแก่ของภาคเหนือ เช่น พระลอ