หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แม่ของฉัน คือ...


แม่

        คำว่า " แม่ "  สำหรับฉันมีความหมายมากล้นซึ่งไม่มีผู้ใดจะเปรียบได้ แม่คือทุกสิ่งทุกอย่าง แม่เป็นผู้ให้กำเนิด ก้าวแรกของชีวิตคำแรกที่ฉันพูดได้ก็คือคำว่าแม่   แม่ของฉันเปรียบเสมือนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะแม่ให้ทั้งความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ให้กับลูกเปรียบเท่าท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล แม่เปรียบเสมือนสะพานทอดยาวที่ให้คอยนำพาลูกผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆได้เป็นสะพานสู่แห่งความฝันส่งลูกข้ามไปยังฟากฝั่งของความฝันให้ลูกก้าวสู่ความสำเร็จ แม่เปรียบเสมือนครูคนแรกที่คอยสั่งสอนให้รู้จักคำ คำแรกของชีวิต   แม่เปรียบเสมือนเพื่อนผู้ที่ให้กำลังใจ เพื่อนผู้ให้ความรัก ความอบอุ่น คอยช่วยเหลือสิ่งๆต่างแก่ฉัน  แม่เปรียบเสมือนหมอประจำตัวลูกที่คอยให้การรักษาเวลาที่ฉันป่วย แม่เปรียบเสมือนนักประติมากรที่คอยแต่งแต้มสีสัน ให้กับชีวิตฉัน และสุดท้ายแม่เปรัยบเสมือนดวงใจดวงหนึ่งของฉันที่ฉันจะรัก จะห่วงใย จะคอยดูแลให้ดีเท่ากับชีวิต และทดแทนพระคุณของท่านดังที่ท่านทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับฉัน.....





วันสำคัญทางศาสนา


วันอาสาฬหบูชา


ธรรมจักกัปปวัตนสูต

ภาพการเข้าร่วมกิจกรรม


                                                 


 ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2555 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม

          ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8 

          วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
          ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า  "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ 


อ้างอิง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
  
dhammathai.org
คลังปัญญาไทย








วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แบบผึกหัดท้ายบทที่2


ข้อ1



<script language="javascript">
//
<!--
var a;
a=prompt("กนกวรรณ หอมทรัพย์")
alert("สวัสดี"+a);
</script>




ข้อ2

<script language="javascript">
//
<!--
var a;
var b;
a=prompt("กว้าง")
b=prompt("ยาว")
alert("พื้นที่สี่เหลี่ยม"+a*b);
</script>

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

CNBLUE_[FIRST STEP] Title Song 직감 Full Ver


คอนยิ้มสดใส_เล่นของสูง+เพียงพอ

ริท รุจ เซน คอนยิ้มสดใส_พูดคุย

คอนยิ้มสดใส_นางฟ้าคนเดิม

คอนยิ้มสดใส_โปรดส่งใครมารักฉันที

ริท คอนยิ้มสดใส_ชอบก็จีบ

ริท ขอบคุณที่รักกัน

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ริท คอนยิ้มสดใส_ชอบก็จีบ

ริท คอนยิ้มสดใส_ห้ามทิ้ง

7Days Crazy - แค่ได้รักเธอ (Official Music Video)

CNBLUE - Hey you

C.N Blue - L.O.V.E GIRL

นาฬิกาตาย

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้ !!


                       มนุษย์ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารได้หลากหลาย และช่างสรรหา
เมนูจากสัตว์ต่าง ๆ มาลองลิ้มชิมรสกันมากที่สุด ซึ่งถ้าหากมันปลอดภัยและมีรสชาติ
เอร็ดอร่อยก็ถือว่าเป็นโชคดีไปแต่เมนูบางชนิดนั้นไม่ได้กินกันง่าย ๆ อย่างนั้น
เพราะมันมีพิษสงร้ายแรงจนเรียกว่าควรที่จะเลี่ยงมันดีกว่า แต่กระนั้น.. คนเราก็ยังคง
อยากจะเอาชนะพิษจากสัตว์เหล่านั้น ด้วยการสรรหาวิธีทำให้ปลอดภัย เพื่อจะทานมันจนได้


5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

         
                   1. ปลาปักเป้าหรือปลาฟุกุ เมนูท้าตายอันดับแรกนี้ส่งตรงมาจากญี่ปุ่น เป็นเมนูที่เรียกว่า
ต้องผ่านการแล่เนื้อโดยเชฟที่มีความชำนาญโดยเฉพาะเท่านั้น จึงจะสามารถนำมารับประทานได้
เพราะตลอดทั้งลำตัวของปลาปักเป้านี้ จะมีสาร Tetrodotoxin ซึ่งมีพิษถึงตายกระจายอยู่ทั่ว
และที่สำคัญพิษนี้ยังไม่สลายตัวเมื่อถูกความร้อนด้วย ดังนั้นผู้ที่อยากจะลองเอาปลาปักเป้ามาปรุง
อาหารเองนั้นอย่าได้หวังจะมีชีวิตอยู่เพื่อลิ้มลองรสชาติของมันอีกครั้ง เพราะถ้าหากพลาดไปเพียง
นิดเดียว คุณก็จะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน คลื่นไส้อาเจียน หายใจติดขัด และมีแนวโน้มจะเสีย
ชีวิตหากไม่ได้รับการนำส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

      

            2. สมองลิง อย่าคิดว่าเมนูนี้ไม่มีอยู่จริงในโลก ตราบใดที่มนุษย์ยังมีนิสัยชอบลองของแปลก
อยู่เสมอ เมนูนี้พบได้ในแถบประเทศจีน สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่มันเป็นเมนูที่เสี่ยงมาก ๆ ผู้ที่นำสมอง
ลิงมาปรุงอาหารต้องแน่ใจว่าลิงไม่ได้มีเชื้อวัวบ้าอยู่ ไม่อย่างนั้นผู้ที่ทานเข้าไปอาจจะติดเชื้อวัวบ้า
และเสียชีวิตในเวลาต่อมาได้อย่างง่ายดาย




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

         

                    3. ชีสหนอน หรือ คาซู มาร์ซู เป็นชีสนมแกะสูตรดั้งเดิมของชาวเกาะซาร์ดิเนียในอิตาลี
ได้มาจากการนำชีสไปวางให้แมลงวัน Piophila casei มาไข่ใส่ จากนั้นก็หมักชีสด้วยตัวอ่อนของแมลง
ซึ่งจะทำให้ชีสมีเนื้อนุ่ม แต่การทานนั้นค่อนข้างเสี่ยง เพราะหนอนเหล่านี้เมื่อเข้าไปในลำไส้แล้วอาจทำ
ให้เกิดอาการเจ็บปวดในลำไส้ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเสียเรื้อรัง และอาจช็อกถึงตายได้ ปัจจุบันชีสหนอน
ถูกจัดเป็นอาหารผิดกฎหมาย แต่ถูกยกเว้นในเกาะซาร์ดิเนีย เพราะถือว่าเป็นอาหารท้องถิ่นที่มีมานาน
หลายร้อยปี




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้

        

               4. ซันนักจิ หรือปลาหมึกสดราดซอส เป็นหมึกยักษ์สดตัวเล็กที่ชาวเกาหลีนิยมนำมาทาน
กันง่าย ๆ ด้วยการนำหมึกมาพันไม้ทั้งเป็น แล้วจิ้มน้ำจิ้มทานเลย แต่การเคี้ยวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
เพราะหมึกสดจะมีความเหนียวและยังดิ้นยั้วเยี้ยอยู่ เป็นเมนูที่อันตรายมากเคยเกิดเหตุการณ์หมึกติด
คอผู้ลิ้มลองจนขาดอากาศหายใจตายมาหลายคนแล้ว




5 เมนูอันตรายที่สุดในโลกที่คุณอาจไม่รู้


          5. นมโคที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์ เพราะกระบวนการพาสเจอไรซ์นั้นเป็นกระบวนการฆ่าเชื้อ
ทำลายยีสต์รา และแบคทีเรียที่มีอยู่ในนมทั้งหมดออกไป โดยไม่ทำให้รสชาติของนมเสีย ดังนั้น การดื่ม
นมโคสด ๆ ที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคจากวัวได้อย่างง่าย ๆ ซึ่งมันอาจไม่ทำ
ให้ผู้ดื่มถึงตาย แต่ก็เจ็บป่วยอย่างไม่คุ้มกันเลยล่ะ

         
         เห็นเมนูแต่ละเมนูแล้ว เชื่อเลยว่าหลายคนคงต้องรู้สึกสะอิดสะเอียนกันไม่น้อย โดยเฉพาะชีสนอน
ที่น่าขยะแขยง นึกภาพตามแล้วก็ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ก็หวังว่าคุณ ๆ คงไม่เป็นคนหนึ่งที่อยากจะ
ท้ามัจจุราช ลิ้มลองเมนูอันตรายพวกนี้ด้วยตัวเองหรอกนะ.. อิอิ

 
ขอบคุณที่มา : http://board.postjung.com/621210.html


เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม





http://www.youtube.com/watch?v=u02SgnmPNhw&feature=related

ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง!

ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง!


         ป้ายรถเมล์ประจำแห่งหนึ่งที่พี่เกียรติเคยไปยืนรอต่อรถกลับบ้านสมัยเด็กๆ  จะมีร้านรถเข็นเล็กๆ ขายน้ำชนิดเดียวคือ น้ำใบบัวบก ประดับตกแต่งด้วยต้นบัวบกไปทั้งรถเข็น มีคนที่เหนื่อยล้ากับการต่อรถต่อเรือมาแวะดื่มตลอด  แม่พี่ก็ซุื้อให้ดื่มบ่อยๆ ตอนนั้นคิดว่ามันต้องขมแน่นอนเพราะมันคือผัก ผัก และผัก ไม่มีส่วนผสมอื่นใด ทั้งสีสันและเอกลักษณ์ก็เขียวเข้ม รสชาติคงไม่พ้นเหม็นเขียวแน่นอน แต่ที่ไหนได้รสชาติกลับหวานได้รสไม่เหมือนอาหารใด ไม่หวานมากจนเหมือนดื่มแล้วต้องเป็นเบาหวาน และก็ไม่เหม็นเขียว แต่ก็มีกลิ่นผักที่มันเป็นนั่นแหละ แต่ที่สำคัญ คือ ดื่มแล้วชื่นใจเป็นที่สุด เรียกว่ามาตั้งร้านได้มุมที่ดีมากๆ เหนื่อยจากการเดินทาง สมองมึนเพราะสูดควันพิษ ก็ต้องเติมพลังก่อนไปต่อด้วยน้ำใบบัวบกนี้แหละ 


เด็กดีดอทคอม :: ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง!


          ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารสมอง ที่ใช้ในตำรับบำรุงสมองมาช้านานแล้ว มีการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วพบว่ามีสรรพคุณ ทำให้มีสมาธิ สามารถจดจ่อกับงานได้นานขึ้น ความจำและการเรียนรู้ดีขึ้น และยังช่วยในการกำจัดสารพิษซึ่งสะสมในสมองและระบบประสาท รวมทั้งที่ตกค้างในร่างกายได้เป็นอย่างดี  มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดในบัวบกด้านคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสามารถในการจำแล้ว และในการการศึกษาถึงการบำรุงสมอง พบว่าบัวบกสามารถต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง ต้านอนุมูลอิสระ คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาท acetylcholineซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง เสริมการทำงานของสารสื่อประสาทกาบ้า (Gaga) ที่รักษาสมดุลของจิตใจ ทั้งยังทำให้ผ่อนคลายและหลับได้ง่าย นอกจากนี้บัวบกยังทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรง เพิ่มเม็ดเลือดขาว และสามารถนำเลือดไปเลี้ยงในอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานโรคได้
แหล่งข้อมูล, ภาพประกอบ: 
   http://www.kroobannok.com/blog/16019 (กลอน)
    http://www.yourhealthyguide.com/article/an-gotu-kola-brain.html
    http://healthben.blogspot.com/2011/10/benefit-of-asiatic-pennywort.html
    http://www.lineayforma.com/estar-bien/los-multiples-beneficios-de-la-centella-asiatica.html
    adaduitokla,Flickr 
    kunchang.igetweb.com   

http://www.dek-d.com/content/education/27902/ผักในความทรงจำ...บำรุงสมอง.php

ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ

  เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ ทั้งๆ ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ที่อยู่ทวีปเอเชียด้วยกัน กลับมีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว (เวียดนามก็เคยตกมาแล้ว!!) วันนี้พี่มิ้นท์จะมาคลายปมให้หายสงสัยกันไปเลย
เด็กดีดอทคอม :: ทำไมเมืองไทยไม่มีหิมะตก
             ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ตั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ ถึง 1 องศา 45 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก ถึง 26 องศา 4 ลิปดาตะวันออก โดยปกติเส้นละติจูดจะทำให้เรารู้สภาพอากาศของต่ำแหน่งประเทศนั้นๆ โดยตำแหน่งที่ตั้งที่มีค่าละติจูดต่ำ ก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าต่ำแหน่งพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่านั่นเอง ด้วยความกว้างขวางขนาดนี้ ทวีปเอเชียจึงมีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ เรียกว่ามีตั้งแต่ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย ไปจนถึงหนาวแบบขั้วโลก เลย
    ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่า เมืองไทยยังหนาวไม่พอที่หิมะจะตกลงมาได้   เพราะหิมะจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 องศา หรือถ้ามีฝนตกร่วมด้วยก็อาจจะไม่ต้องถึง 0 องศา เพราะบรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม

              ถ้าจะอธิบายง่ายๆ หิมะ ก็คือ การรวมตัวของละอองน้ำในบรรยากาศ ที่ควบแน่นและตกลงมา ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ ฝนค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่เมื่อละอองน้ำเจออากาศเย็นและมีความชื้นที่พอเหมาะ ก็เลยตกลงมาในรูปของผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

             ดังนั้นพื้นที่ที่จะเกิดหิมะได้ ก็จะต้องอยู่ใต้เส้น Tropic of capricron ในซีกโลกใต้ หรือ อยู่เหนือเส้น Tropic of cancer ขึ้นไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งประเทศจีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่เลยเส้นนี้ จึงมีหิมะตกได้ ส่วนประเทศไทยของเราล่ะ อยู่ตรงโซน Equator ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรพอดี๊พอดี ก็เลยไม่มีหิมะจ้า (ดูรูปประกอบด้านบน)
อ้างอิงข้อมูลจาก
www.tmd.go.th/, www.siwaporn.net/, th.wikipedia.org
รูปภาพจาก
/italyin30seconds.wordpress.com, http://www.jroller.com/,


เชื่อหรือไม่!! กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้ ภายใน 4 วัน

เชื่อหรือไม่!! กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้ ภายใน 4 วัน

   "น้ำอัดลม" ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไร ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "อัดลม" เพราะฉะนั้นส่วนประกอบสำคัญก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ ที่ทำให้น้ำอัดลมซ่า โดยจะใช้ความดันอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ไปทำปฏิกิริยากับน้ำ ซึ่งปฏิกิริยานี้ทำให้เกิดกรดคาร์บอนิกด้วย ผลที่ตามมาก็จะมีฟองฟู่ฟ่าอย่างที่เราเห็น เวลากินตอนเหนื่อยๆ หรือกระหาย นึกว่าได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เพราะมันสดชื่นมากๆ แต่ในทางตรงกันข้ามกรดนี้สามารถกัดกระดูกและฟัน อาจทำให้เกิดฟันผุ กระดูกผุได้ค่ะ เรียกว่าประโยชน์กับโทษสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นต้องใช้วิจารณญานในการดื่มด้วยนะคะ

          อีกส่วนประกอบหนึ่งก็คือน้ำตาล เพื่อให้เกิดความหวาน สดชื่นนั่นเอง น้ำตาลที่ใช้จะเป็น ซูโครส แต่บางชนิดจะใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น แอสปาเตม ฯลฯ ซึ่งจะใส่ในน้ำอัดลมประเภทโลวแคลอรี แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลก็ไม่ดีทั้งคู่นะคะ น้ำตาลทำให้อ้วน รู้หรือไม่ว่าน้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีพลังงานทั้งหมด 240 กิโลแคลอรี่ เท่ากับกินข้าว 3 ทัพพี ><!!  ไม่อ้วนให้รู้ไป ส่วนสารให้ความหวานก็อาจเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้ท้องร่วง อาเจียน ไปจนถึงเป็นมะเร็งได้
 เด็กดีดอทคอม :: เชื่อหรือไม่!! กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้ ภายใน 4 วัน   นอกจากส่วนประกอบหลักทั้งสองแล้ว ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่น่าสนใจปนน่ากลัวอีก เช่น กรดฟอสฟอริก เป็นกรดที่ทำให้เกิดความซ่าอีกชนิดนึง ไม่น่าเชื่อว่ากรดนี้เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในผงซักฟอก รวมทั้งใช้ในอุตสาหกรรมโลหะด้วย ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมาก มากขนาดที่สามารถละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน เท่านั้นยังไม่พอยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน เพราะฉะนั้นกินเยอะๆ กระดูกของเราพรุนแน่ๆ

          จะว่าไปแล้วก็ยังมีอีกหลายส่วนประกอบ เช่น วัตถุกันเสีย กลิ่นสังเคราะห์ สีสังเคราะห์ หรือแม้แต่คาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟและชา ก็มาโผล่ในน้ำอัดลมด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะมีไม่มากเท่า แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่เยอะแล้วล่ะก็ ก็ส่งผลทำให้เป็นโรคประสาทได้ ที่สำคัญ จังหวะและอัตราการเล่นของหัวอาจผิดปกติ ทำให้นอนไม่หลับ
 

http://www.dek-d.com/content/education/27489/เชื่อหรือไม่-กรดในน้ำอัดลมละลายตะปูได้-ภายใน-4-วัน.php

อ้างอิงเนื้อหาจาก
sumon-kananit.socialgo.com,เรื่องปฏิกิริยาในน้ำอัดลม รายวิชาเคมี ม.4
รูปภาพประกอบจาก
http://www.tarladalal.com/,  blog.collegebars.net

ตัด "หนวด" แมว ก็เหมือนฆ่าแมวทั้งเป็น !!


ตัด "หนวด" แมว ก็เหมือนฆ่าแมวทั้งเป็น !!

  ถ้าพูดถึงสัตว์เลี้ยงที่คนทั่วโลกเห็นตรงกันว่าน่ารักอ้ะ!! และอยากเลี้ยงมากที่สุด นอกจากสุนัขแล้ว เห็นทีก็จะมีแต่ "แมว" ด้วยความน่ารัก ขี้อ้อนและนอนเก่ง?? ของมันก็คงทำให้คนตกหลุมรักจนถึงขั้นเรียกว่าลูกกันเลยทีเดียว และบทความวิทยาศาสตร์วันนี้พี่มิ้นท์ก็เอาใจคนรักแมวกันหน่อย ส่วนจะเรื่องอะไร มาอ่านไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: ตัด "หนวด" แมว ก็เหมือนฆ่าแมวทั้งเป็น !!
              บ้านใครที่เลี้ยงแมวไว้อาจจะเคยได้ยินความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับแมวกันมาเยอะ เช่น แมวตายยาก เพราะมันมี 9 ชีวิต, แมวชอบกินปลา(อันนี้ขอเถียง แมวบ้านพี่มิ้นท์กินทุกอย่าง) ไปจนถึง ต้องตัดหนวดแมว เพื่อให้แมวตัวผู้ไม่หนีออกจากบ้าน ซึ่งความเชื่อข้อหลังนี้ น่าจะส่งผลให้ใครต่อใครเคยลองตัดหนวดแมวกันแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้ว การตัดหนวดแมวเป็นการทรมานสัตว์อย่างนึง เพราะทำให้มันหมดความมั่นใจ และทำให้การดำเนินชีวิตของมันไม่เหมือนเดิม!!

              น้องๆ เคยนึกสงสัยว่า หนวดแมวมีไว้ทำอะไร แน่นอนว่าธรรมชาติคงไม่ได้สร้างมันมาเพื่อความสวยงามเท่านั้น ทุกอวัยวะไม่ว่าจะของคน หรือสัตว์ต่างก็มีหน้าที่ และประโยชน์ของมัน ดูอย่างคนสิ เอาแค่ขี้หูที่ดูเป็นสิ่งสกปรก ก็ยังมีหน้าที่ช่วยป้องกันแมลง หรือฝุ่นละอองเข้าหูได้ ดังนั้นหนวดแมวก็มีประโยชน์มากกว่าที่คิดแน่นอน 
   ถ้าใครเคยสังเกต จะเห็นว่าเวลาแมวจะอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หนวดแมวจะขยับหรืออยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันด้วย เช่น เวลาเจอหนู หรือแมลงตัวเล็กๆ มันก็จะตาโต นั่งยองๆ พร้อมกับขยับหนวดไปด้านหน้า เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของเหยื่อ ซึ่งรวมไปถึงเวลาที่มันตกอยู่ในสถานการณ์อยากรู้อยากเห็น หรือ จดจ้องกับอะไรบางอย่างอยู่ ตรงกันข้ามเวลาที่มันอยู่เฉยๆ หนวดของมันก็จะอยู่ปกติ ส่วนเวลาดมอาหารก็จะขยับหนวดไปด้านหลัง เพื่อให้สูดกลิ่นหอมๆ ของอาหารได้เต็มที่
  สาเหตุที่หนวดแมวที่การปรับ และขยับได้นั่นก็เป็นเพราะว่า หนวดแมวเป็นอวัยวะที่สำคัญของแมว เปรียบเสมือนเรดาห์ใช้ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของสิ่งรอบๆ ตัว รวมไปถึงเหยื่อของมัน เพราะที่ปลายหนวดจะมีตัวรับความรู้สึก (sensory receptor) ซึ่งรับรู้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแรงสั่นสะเทือน คลื่นไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งลมเบาหวิว ดังนั้นเวลามีอะไรมากระทบเข้ามันก็จะรู้สึก และรู้ได้ตลอดเวลาว่ามีอะไรอยู่รอบๆ ตัวมันบ้าง

            นอกจากนี้ยังใช้นำทางไปในทางที่แคบๆ เพราะเวลาแมวเดิน มันจะใช้หัวนำไปก่อน โดยขนาดความยาวของหนวดแมวนั้นจะเท่ากับความกว้างของลำตัว(หนวดแมวเปอร์เซียก็เลยยาวมากกก) ดังนั้นเวลาแมวจะลอดช่อง หรือ รูเล็กๆ หนวดก็สามารถใช้วัดระยะได้ด้วย ว่าตัวของมันจะผ่านตรงนั้นไปได้ หรือไม่


             การไปตัดหนวดของมันด้วยความตั้งใจ หรือคึกคะนองก็ตาม ย่อมเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตมันเลยก็ว่าได้ เพราะทันทีที่ตัดหนวดไป ก็เหมือนไปตัดตัวรับความรู้สึกของมันไปด้วย ทำให้มันหาอาหารได้ลำบากขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเหยื่ออยู่ตรงไหน เดินทางลำบากขึ้น เพราะไม่มีเรดาห์ตรวจจับเส้นทาง และการคำนวณพื้นที่ในการลอดผ่านพื้นที่แคบๆ ก็จะน้อยลง การตอบสนองจะช้าลง เดินชนสิ่งรอบๆ ตัวได้ง่ายขึ้น บางตัวถึงกับเสียศูนย์เดินเป๋กันเลยทีเดียว
   ดังนั้น การตัดหนวดแมวก็เปรียบเสมือนการไปทำลายความมั่นใจของแมว มันจะรู้สึกว่าความปลอดภัยในชีวิตของมันน้อยลง จนไม่กล้าออกจากบ้านไปเจอสิ่งอื่นๆ ภายนอก เพราะทุกที่จะเป็นที่ที่ไม่คุ้นเคย เรียกว่านั่งหงอหมดหล่ออยู่บ้าน ทำให้คนเข้าใจไปว่าการตัดหนวดแมวเป็นทางออกที่ทำให้แมวไม่ออกจากบ้าน ซึ่งมันก็ใช่ แต่ก็เป็นการทารุณสัตว์สุดๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้มันไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้ จนกว่าหนวดใหม่มันจะยาว
 
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพประกอบจาก
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/10/J9802115/J9802115.html
www.allanimalsites.com,www.petopia.sg